โควิด
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๖๗
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่)ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “สงสัยมานานจนตัดสินใจถามค่ะ”
โยมไม่ได้ไปปฏิบัติที่วัดหลวงพ่อเลย ไปแค่สองสามครั้ง ส่วนมากมาใส่บาตรแล้วกลับ และมีคนขอติดมาด้วย แต่พอมาวันหนึ่งมีคนมาบอกโยมว่าห้ามมาวัดหลวงพ่อแล้ว ก็ยังงงๆ จนวันหนึ่งได้ไปวัดหลวงพ่อก็ถูกคนไล่แบบน่ากลัวมาก โยมตกใจ ตั้งสติว่า เราผิดอะไร
เมื่อก่อนคิดว่าถ้าโยมพร้อมแล้วโยมจะไปภาวนาที่วัดหลวงพ่อ อยากภาวนาเป็น และฟังธรรมหลวงพ่อพอเข้าใจบ้างแล้ว แต่ก็หมดหวังที่จะไปวัดหลวงพ่อ และโยมนึกถึงคำคนหนึ่งว่า โยมมาหยามหลวงพ่อ โยมไม่เคยคิดแบบนั้นเลย โยมขอความเมตตาจากท่านด้วยเจ้าค่ะ
ตอบ : อันนี้ “สงสัยมานานจนตัดสินใจถามค่ะ”
คำตอบ “โยมไม่ได้มาปฏิบัติที่วัดหลวงพ่อเลย มาแค่สองสามครั้ง ส่วนมากมาใส่บาตรแล้วกลับ”
นี่เวลาคนจะมาปฏิบัติที่วัดๆ เราเคยเป็นพระผู้น้อยมา เที่ยวมาทั่ว เห็นเวลาคนที่ไปปฏิบัติที่วัดแล้ว คนที่เป็นธรรมก็เป็นธรรมดีมาก คนที่ไปเห็นแต่ผลประโยชน์ ไปตักตวงผลประโยชน์ ไปเอาอิทธิพลเอาความยิ่งใหญ่ก็เยอะแยะไปหมด
ฉะนั้น เราเห็นมามาก แล้วเวลามาอยู่วัดป่าบ้านตาด หลวงตาท่านไม่ให้อยู่วัดเลย ถ้าเข้ามาให้เจ็ดวันออกๆ เท่านั้น เพราะว่ามาอยู่แล้วพอมันรากมันงอกแล้วมันมีปัญหา
ทุกที่ในฝ่ายปฏิบัติของผู้หญิงจะมีปัญหาไปทั้งสิ้น ฉะนั้น เวลาวัดสร้างใหม่ หลวงตาท่านไปเยี่ยมท่านบอกว่า “ห้ามมีครัวนะ ห้ามมีครัว”
เพราะครัวนั่นแหละเป็นต้นเหตุแห่งการทะเลาะเบาะแว้ง ครัวนั่นแหละเป็นต้นเหตุแห่งการขัดแย้ง การชิงดีชิงชั่ว แล้วไอ้คนที่เห็นแก่ตัวๆ มันก็ว่าครัวนี่ของมัน แล้วมันก็เที่ยวไปหาผลประโยชน์มาในครัว
เรามาตั้งที่วัดนี้ใหม่ๆ มีนเรศเขาเป็นคนขอว่าเขาจะเอาวัตถุดิบเข้ามาทั้งหมด ดูแลให้ทั้งหมด แล้วคนนู้นก็จะมา คนนี้ก็จะมา บอกไม่รับๆๆๆ เขาก็พยายามตั้งทีมกันนะ มาเจ้าเล่ห์แสนงอน จะเอาของเข้าครัวให้ได้ แล้วจะย่ำยี
ไอ้นี่คือกฎกติกานะ ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา ข้อวัตรปฏิบัติของวัดนั้นมันเป็นกติกาของวัดนั้น ถ้าเอ็งอยากไปปฏิบัติที่วัดนั้น แล้วเอ็งจะไปล้มกติกาของเขา เอ็งจะไปหยามหมิ่นกติกาของเขา เอ็งจะไปลูบคมกติกาของเขาด้วยทิฏฐิมานะ
เฮ้ย! นั่นคืออะไรวะ อันนั้นคืออะไร โลกๆ ทั้งนั้น
วัด ถ้าวัดที่ทั่วไปนะ หมามันก็ยังไม่มอง อย่าว่าแต่คน วัดทั่วไปปล่อยปละละเลยนะ จนพระที่อยู่วัดไม่มีอยู่มีกินต่างๆ หลวงตาท่านไปเยี่ยมไปเยียน ท่านเอาไปส่งเสียไปดูไปแลทั้งนั้นน่ะ
นี่ก็เหมือนกัน วัดทั่วไปมากมายมหาศาล สิ่งที่รอคนที่อุปัฏฐากอุปถัมภ์ เอ็งไปนั่นเลย แล้ววัดที่เขามีกติกาของเขา วัดที่เขาเห็นว่าในการปฏิบัติที่เหลวไหลแหลกลาญที่ไม่เป็นประโยชน์มันมากมาย เวลาเขาจะตั้งกติกาขึ้นมาน่ะ แล้วเอ็งว่าเอ็งจะมาปฏิบัติที่วัดกัน เอ็งรับกติกาอย่างนี้ไม่ได้หรือ ศีล ๕ ไอ้นี่มันศีล ๕
เอ็งแค่เอาหัวใจมาปฏิบัติ มาอยู่วัดนะ แล้วนั่งสมาธิภาวนา ให้ภาวนาให้เป็นขึ้นมา กูจะสาธุๆ เลยล่ะ
ทำทานร้อยหนพันหนไม่เท่าถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ถือศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับทำสมาธิได้หนหนึ่ง ทำสมาธิได้ร้อยหนพันหนไม่เท่าเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมาหนหนึ่ง
ภาวนามยปัญญาๆ ถ้าปัญญาอย่างนั้นมันจะเกิดขึ้นน่ะ ไอ้เรื่องปลีกย่อย ไอ้เรื่องที่ว่าจะเอาของมาเข้าครัวแล้วก็จะเอาทิฏฐิมานะจะมาข่มขี่คนที่คุ้มครองดูแล คนที่เขารักษาความสงบเรียบร้อยจะต้องเปิดประตูให้เขาเอาอะไรเข้ามาก็ได้ จะย่ำยีอย่างไรก็ได้
จะไปภาวนาที่วัดหรือ จะไปภาวนาที่วัด เคยไปแค่สองครั้งสามครั้งเท่านั้น แล้วเขาว่าโดนไล่ออกก็เลยยังงงๆ อยู่นี่
ถ้าเป็นธรรมิกาทั้งหมด ออกไป ธรรมิกาทั้งหมดเข้ามาไม่ได้
มันไม่ใช่แค่นี้นะ เดี๋ยวมีคำถามต่อไปเลวร้ายกว่านี้
ออกไปซะ สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เป็นสุขๆ เถิด วัดที่จะหาที่ภาวนาเยอะแยะ คนที่วัดปฏิบัติเขาเรียกร้องเขาประชาสัมพันธ์ ใครปฏิบัติเชิญที่นั่นๆ เชิญตามสบายเลย ไม่ต้องมาคิดว่าจะเข้ามาช่วยเชิดชูบูชา ไม่ต้อง
ถ้าจะเชิดชูบูชา เขาตั้งกติกา เอ็งต้องเคารพ ถ้าเคารพตรงนั้น นั่นแหละมีสัจจะ
คนตรงไปตรงมา กิเลสมันจะมาพลิกแพลงได้น้อยหน่อย แต่มันก็มีอยู่ แต่ถ้าเรากะล่อนเราปลิ้นเราปล้อน เราหลบเราหลีก เขาตั้งกติกาอย่างนั้นก็จะเหยียบย่ำของเขา จะพลิกจะแพลง นั่นน่ะคือการหน้าไหว้หลังหลอก อย่างนี้มีศีลไหม
แล้วจะมีสมาธิได้อย่างไรในเมื่อตัวเองก็หลอกตัวเองอยู่ตลอดเวลา กติกาเขาตั้งเอาไว้แล้วก็ลบหลู่เขา ก็ย่ำยีเขา ก็ทำลายเขา แล้วตัวเองจะตั้งมั่น จะทำสมาธิ มันขัดแย้งกันไปหมดเลยน่ะ
ฉะนั้น ที่ว่า เคยไปปฏิบัติที่วัดสองครั้งสามครั้ง แล้วก็ไม่ได้ไปอีกเลย
ถ้าเป็นชาววัด ชาวบ้านๆ ชาวบ้านนิสัยของโลกชิงดีชิงชั่วแข่งขันกันน่ะ นั่นเป็นนิสัยของชาวบ้าน
ถ้าเป็นชาววัดๆ ชาววัดเขาก็ต้องมีศีลมีธรรมของเขา เขาต้องซื่อสัตย์สุจริต คำว่า “ซื่อสัตย์สุจริต” มันเป็นรั้วรอบขอบชิดไม่ให้กิเลสมันรังแกหัวใจดวงนั้น หัวใจดวงที่จะมาประพฤติปฏิบัติไม่ให้กิเลสมันเข้ามารังแก แล้วพยายามฝึกหัดปฏิบัติของเราขึ้นมาให้มันเป็นธรรมขึ้นมา
หลวงตาพระมหาบัวท่านบอก ต้องการให้ภาคกลางมีวัดปฏิบัติบ้าง แล้วเวลามาท่านรับถวายที่ “ถ้าไม่มีตัวแทน ไม่มีผู้ดูแล เราไม่รับ แต่นี่มีผู้รับผิดชอบแทนเรา” ท่านถึงรับ
ไอ้ ๙ วัด ที่เขาถวายหลวงตาทั้งนั้นเลย แล้วหลวงตาท่านรับไว้ บอกให้ไอ้บ้านี่เป็นคนดูแลรักษา “มีตัวแทนเรารับผิดชอบ เราถึงรับที่นั้น แล้วเราจะสร้างขึ้นมาให้มันเป็นสำนักปฏิบัติ สำนักกรรมฐาน”
แล้วสำนักกรรมฐานมันก็ต้องมีศีลมีธรรม มีข้อวัตรปฏิบัติของเขา ถ้ามีข้อวัตรปฏิบัติของเขา ถ้าเราเคารพบูชา เราจะรู้ เราจะเซ่อ เราจะไม่มีปัญญาอะไรเลย ถ้าทำตามกติกานั้นมันจะเป็นคนดีขึ้นมาได้บ้าง มันปฏิบัติขึ้นมามันจะมีหนทางของมันบ้าง
ไอ้นี่ชาวบ้าน ชาวบ้านเคยอยู่บ้านน่ะยิ่งใหญ่ ทุกคนเคารพนับถือ เป็นผู้มีกิตติศัพท์ในสังคม แล้วมาถึงก็ทุกคนต้องหันหน้ามามองเรา ถ้าใครไม่มองเรา มันไม่พอใจแล้ว มันจะหาทางทิ่มหาทางแทงแล้ว แล้วมันจะเอาความยิ่งใหญ่ของมัน
ที่คนมาปฏิบัติที่วัดทุกคนไม่มีสิทธิอะไรเลย พระสงบเป็นหัวหน้ารับไว้ให้ปฏิบัติเท่านั้น รับไว้ฝึกหัดให้เดินจงกรม ให้นั่งสมาธิภาวนา ให้ฝึกหัดหัวใจของคนให้เข้มแข็งขึ้น
ถ้ามอบหน้าที่ให้แล้วทำผิดก็ยกเลิกๆ ถ้ามีหน้าที่ เราจะลงโทษ ๑๕๗ ผู้มีหน้าที่ผิดตามหน้าที่
ผู้ไม่มีหน้าที่คอยยุคอยแหย่ คอยทิ่มคอยตำ คอยพลิกคอยแพลง คอยหลอกคอยหลอน
จะไปปฏิบัติที่วัดหรือ ไปวัดอื่นเถอะ
“พอมาวันหนึ่งมีคนมาบอกโยมว่าห้ามมาวัดหลวงพ่อแล้ว ยังงงๆ วันหนึ่งไปวัดหลวงพ่อ ถูกคนไล่แบบน่ากลัวมาก โยมตกใจจนตั้งสติผิดเลย”
โควิด เขาต้องกักตัว เขาไม่ให้คลุกคลีกัน ฉะนั้น เวลาโควิดเขาฉีดวัคซีน ผู้ที่ฉีดวัคซีนมือเขาเบา เขาฉีดแล้ว เสร็จแล้วหรือ ไม่เห็นรู้เลย ไอ้เวลาฉีดแล้วเจ็บน่าดูเลย ไอ้พวกมือหนัก
ไอ้คนที่เขาไปไล่นั่นน่ะ นั่นเขาเป็นคนฉีดวัคซีน เขาเป็นเจ้าหน้าที่ เขาคิดว่าจะช่วยดูแลวัด เขาก็ไปบอกให้รู้ว่าเอ็งติดโควิด
โควิดๆ โควิดมันเป็นเชื้อไวรัส เอ็งไปติดเชื้อมาจากไหนก็ไม่รู้ ถ้าเอ็งติดโควิดแล้วก็คือโควิด โควิดกับคนฉีดวัคซีนคนละเรื่องกัน ไอ้คนไปไล่เขาเป็นเจ้าหน้าที่ฉีดวัคซีน มือเขาหนักมือเขาเบามันอยู่ที่ความชำนาญของเขา
โควิดๆ เอ็งเป็นกลุ่มของคนที่เข้ามาแล้วมีปัญหา แล้วพระสงบเป็นคนประกาศเองว่า ธรรมิกาทั้งหมด เว็บไซต์ของเขา ทั้งไลน์ของเขา แล้วไลน์กลุ่มซ่อมถนนสร้างถนน กลุ่มไลน์ที่ว่าเที่ยวไปเรี่ยไรน่ะ...ไล่ออกหมด ไล่ออกหมด ไอ้พวกเรี่ยไร เพราะเอ็งไม่มีหน้าที่
วัดของพระสงบ วัดป่าสันติพุทธาราม หลวงตาพระมหาบัวท่านรับบริจาคจากญาติโยมไว้แล้วให้พระสงบเป็นผู้ดูแล ไม่ได้ให้พวกโยมดูแล ไม่ให้โยมเข้ามาบริหาร หลวงตาไม่เคยสั่ง หลวงตาสั่งพระสงบไว้
แล้วใครมาตั้งกลุ่มไลน์เรี่ยไรกัน ตั้งกองผ้าป่า...เขาไม่ให้นะ
หลวงตาท่านสั่งไว้เลย อย่ากวนบ้านกวนเมือง ห้าม
ไอ้เรี่ยไรๆ โครงการช่วยชาติฯ นั้นมันเป็นวิกฤติของชาติ เป็นการช่วยชาติ วัดทุกวัดท่านไปดูแล้ว โกโก้ กาแฟ อาหารการกินมันจะท่วมปอดตาย ของมันอุดมสมบูรณ์
เขาไม่ได้ตั้งให้ใครมีหน้าที่ไปรับบริจาคเรี่ยไรเพื่อมาส่งเสริมพระพุทธศาสนา ไม่เคยมี ไม่มี แล้วไปเรี่ยไรอะไรกัน
ฉะนั้น เจ้าหน้าที่เขาถึงควบคุมไง ฉะนั้น เขาจะมือหนักมือเบานั่นเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ ไม่เกี่ยวกับวัด ไม่เกี่ยวกับพระสงบ
ไอ้พวกติดโควิดๆ น่ะ เอ็งบอกว่า ไล่ออกไม่รู้เรื่องเลย
สอบสวนเชื้อโรค สอบสวนการติดเชื้อ เอ็งไปไหนมา มันเป็นวิทยาศาสตร์หมดน่ะ
“เขาไล่ออกก็ไม่รู้เลย”
มันแบบว่ามันมายาเกินไป มันเรื่องไร้สาระ เอาสาระความเป็นจริงดีกว่า
ฉะนั้น ไอ้ที่ว่า ไล่ออกโดยไม่รู้เรื่องเลย ไล่อีกแล้ว
ก็เอ็งติดเชื้อมา ติดเชื้อมาจากธรรมิกา ไอ้พวกกลุ่มไลน์ที่เที่ยวมาล้มข้อวัตรล้มกติกาของกรรมฐาน แล้วเอาแต่ความรู้ความเห็นของตนแล้วอวดดิบอวดดี แหม! เป็นผู้เลอเลิศ...มันไร้สาระมากๆ นะ นี่เก็บอารมณ์เต็มที่แล้วนะ
ฉะนั้นจะบอกว่า โอ๋ย! เขาไล่ด้วยความรุนแรง ตกใจ
อันนี้เป็นนิสัยของคน มันก็ไม่เกี่ยวกับความที่การทำลายล้าง การบิดพลิ้ว การทำลายข้อวัตรปฏิบัติ การเห็นแก่ตัว การสร้างอิทธิพลขึ้นมาในกลุ่มของตน จบ
“เมื่อก่อนคิดว่า ถ้าโยมพร้อมแล้วโยมจะไปภาวนาที่วัดหลวงพ่อ อยากภาวนาเป็นและฟังธรรมหลวงพ่อเพิ่งเข้าใจบ้างแล้ว แต่ก็หมดหวังที่จะไปวัดหลวงพ่อแล้ว โยมนึกว่า คำของเขาว่ามีคนมาหยามๆ มาหยามหลวงพ่อ โยมไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย”
ไอ้ที่เขียนมานี่บอกว่า “ไม่รู้เรื่องเลย ไม่เข้าใจเลย”
นี่แหละหยาม เอ็งคิดว่าคนอื่นไม่รู้หรือ คนอื่นไม่เข้าใจหรือ
วัดมันสะเทือนขนาดไหน เขาพยายามสร้างตึกสร้างแสนยาก ไอ้ทำลายตึกระเบิดลูกเดียวหมดเลย เขาสร้าง เขามีศีลมีธรรม กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมมันหอมทวนลม กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรม แล้วเขาก็ไม่สนใจด้วย เพราะอะไร เพราะมันเป็นกลิ่นของศีลกลิ่นของธรรม
ไอ้คนที่ประพฤติปฏิบัติเขาปฏิบัติเพื่อผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เขาปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาปฏิบัติเพื่อบูชาหัวใจของเขา
แล้วบอกว่า จะไปภาวนาที่วัด ฟังธรรมหลวงพ่อเข้าใจด้วย
หลวงปู่มั่นท่านบอก ไอ้พวกแซงหน้าแซงหลัง ไอ้พวกแซงหน้าแซงหลังมากมายมหาศาล ไอ้พวกเดินตามไง เดินตามคืออยู่ในข้อวัตรปฏิบัติ อยู่ในกฎในกติกา กฎกติกานี้มันจะหล่อหลอมคนให้เป็นคนดีขึ้นมา
แล้วก็หวังว่าอยากเป็นคนดี อยากจะเข้าไปอยู่ในกฎกติกาอย่างนั้น เริ่มต้นเข้าไปอยู่ก็ว่ามันดีๆ นั่นแหละ แต่พอกิเลสมันดิ้นรนในหัวใจขึ้นมา มันอยากจะแสดงออกแล้ว มันอยากจะบิดจะพลิ้ว มันอยากจะแซงหน้าแซงหลัง จะบอกว่าหลวงปู่มั่นสอนผิด พระพุทธเจ้าสอนผิด กูนี่มีศักยภาพมากกว่า กูนี่นะยิ่งใหญ่กว่า กูนี่เข้าใจทุกเรื่องเลย พระสงบอะไรก็พุทโธๆ ชักช้า กูจะสอนปัญญาเลย กูจะสอนให้ทะลุปรุโปร่งให้เป็นพระอรหันต์เลย...ไอ้พวกแซงหน้าแซงหลัง
คนเดินตามมันก็มีแต่มันน้อย เพราะเดินตามมันต้องฝืนกับกิเลสของตน เพราะกิเลสพอขีดวงแล้วมันดิ้นมันรนทั้งนั้นน่ะ
ไอ้พวกแซงหน้าแซงหลังมันอยากเป็นเจ้าแม่ พอเป็นเจ้าแม่แล้วมันก็จะเป็นแม่มด พอแม่มดแล้วมันก็อวดอ้างคุณงามความดี มันโง่บัดซบ
คนฉลาดเขาฉลาดอารมณ์ตัวเอง ฉลาดเพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไอ้พวกแซงหน้าแซงหลังน่ะ “อยากจะไปปฏิบัติที่วัด อยากฟังเทศน์หลวงพ่อ”
เดี๋ยวมันจะบอกว่าหลวงพ่อสอนผิด อะไรๆ ก็พุทโธ อะไรๆ ก็พุทโธ
เอ็งยังพุทโธไม่ได้ เอ็งยังภาวนาเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ถ้าเอ็งยังพุทโธไม่ได้ เอ็งยังทำสมาธิไม่ได้ มันก็เป็นจินตนาการ เป็นเรื่องของโลกทั้งสิ้น
แล้วกิเลสมันพลิกมันแพลง มันเหนียวแน่น มันแก่นกิเลส เดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ร้าย อารมณ์ดีมันก็อยู่ในแนวทางพระพุทธศาสนา อารมณ์มันร้ายนะ พระพุทธศาสนาเป็นหนทางหาผลประโยชน์เลย มันจะยิ่งใหญ่เพราะมีอำนาจ มีอำนาจเงินทองก็ไหลมาเทมา พอเงินทองไหลมาเทมา มันก็พากันเป็นไอ้พวกแม่มด พวกแม่มดพวกปีศาจ แล้วมันไปไหนล่ะ
เพราะเราไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ไง มีตั้งแต่มาสร้างวัดสันติธรรมารามที่โพธารามแล้ว คนในตลาดเขาเอาเงินมาให้สองล้านสามล้านว่าจะให้สร้างวัดน่ะ เราบอก “เฮ้ย! เอ็งเอาเผาไฟทิ้งให้กูดูทีสิวะ เอ็งจุดไฟเผาทิ้งเลย เงินสดๆ นี่จุดไฟเผาทิ้งซะ”
อย่าเอาเงินมาฟาดหัว อย่าคิดว่ามีเงินแล้วจะเข้ามาครอบงำวัดเราได้ ตั้งแต่สมัยสร้างวัดสันติธรรมารามไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย เขามาเสนอเงินเลยสองล้านสดๆ นะ ยกให้เลย บอก “เอ็งเผาทิ้งให้กูดูที เผาทิ้งเลย” หน้าม้านกลับไปเลย
เริ่มต้นเตาะแตะๆ ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมาน่ะ สิ่งนี้เรายังมองเป็นของไร้สาระ แล้วพอมันตั้งมานี่ วัดสันติธรรมาราม วัดป่าสันติพุทธาราม วัดป่าโพธาราม วัดป่าสมสงัด แล้วกำลังจะสร้างวัดอีกสี่วัดห้าวัด มันจะเป็นวัดไปหมดแล้ว มันยั่งยืน มันอยู่โดยสุขโดยสบายอยู่แล้วโดยทางวัตถุโดยทางปัจจัย ๔
หน้าที่ของเราก็หน้าที่รักษาหัวใจของเรา รักษาประพฤติปฏิบัติของเราให้หัวใจเราเป็นธรรม ให้เป็นธรรมที่ว่าให้สมกับชาวพุทธ ให้ศรัทธาที่เขาเรี่ยไรเงิน เขาออกเงินซื้อที่ถวายหลวงตา
หลวงตาพระมหาบัวท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านต้องการให้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้มีศีลมีธรรมขึ้นมา ให้มันเพื่อเป็นเพชร เป็นสิ่งมีคุณค่าจรรโลงในพระพุทธศาสนา
เวลาของเราคือเวลาประพฤติปฏิบัติ เวลาของเราไปเอาความจริง จะมาตั้งกลุ่มตั้งแก๊ง จะเป็นแม่มดพ่อมด จะหาผลประโยชน์ขึ้นไป แล้วบอก “ฟังธรรมหลวงพ่อชักรู้เรื่องแล้วแหละ” พอสักสองวันนะ “หลวงพ่อเทศน์ผิดแล้วแหละ ดิฉันเก่งกว่าหลวงพ่อแล้วเจ้าค่ะ หลวงพ่ออะไรก็พุทโธๆ”
ก็เอ็งยังภาวนาอะไรกันไม่เป็น มันไม่มีโรคภัยไข้เจ็บจะรักษา มันจะไปพูดอะไร เอ็งประพฤติปฏิบัติขึ้นมา บุคคล ๔ คู่ ถ้าเอ็งผิดพลาดตรงไหน เอ็งชำรุดเสียหายตรงไหน ตรงไหนเอ็งทำไม่ได้ ถ้าหลวงพ่อแก้ไขเอ็งไม่ได้แสดงว่าหลวงพ่อเป็นหมอเถื่อน หมอเถื่อนคือไม่รู้จักการรักษาโรค
แต่ถ้าหลวงพ่อเป็นหมอรักษาคนได้ คนเจ็บคนป่วยรักษา จะเปลี่ยนหัวใจก็ได้ จะเปลี่ยนไตก็ได้ จะควักลูกตา เปลี่ยนลูกตาก็ได้ จะเปลี่ยนอะไรก็ได้ เอ็งทำมาสิ
“อะไรๆ ก็พุทโธๆ”
ก็เอ็งยังพุทโธไม่เป็น เอ็งยังทำสมาธิไม่เป็น เอ็งยังไม่มีพื้นฐานใดๆ เลย สัมมาสมาธิเป็นพื้นฐาน สมถกรรมฐานเป็นฐานแห่งการเริ่มประพฤติปฏิบัติ
คนเราไม่มีฐานที่ปฏิบัติ คนเราไม่มีสัญชาติจะต้องเป็นต่างด้าว ต้องเสียค่าเหยียบแผ่นดิน ถ้าเอ็งเป็นชนชาตินี้ เอ็งทำสมถกรรมฐานได้ เอ็งเป็นชาวพุทธโดยอุบาสก อุบาสิกา แล้วถ้าเอ็งเป็นชาวพุทธ เอ็งมีสมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน มีพื้นมีฐาน มีชาติ มีพุทธะที่เจริญเติบโตขึ้นไป ตอนนั้นสิ เราถึงว่ามันจะพุทโธหรือไม่พุทโธ
พุทโธนั้นมันเบสิก มันเป็นพระพุทธศาสนา เป็นการหาพุทธะในใจของตน
มันเรื่องไร้สาระน่ะ
เวลาหลวงตาท่านพูดไง ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นไอ้แซงหน้าแซงหลังมันเยอะ ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นดีก็มี ชั่วก็มาก ยิ่งเข้ามาหาพระสงบ ดีหาแทบไม่เจอเลย แผลเต็มตัวนะ
ฉะนั้น ไล่ออกไปแล้วคือออกไป ไอ้ที่ว่า เขาหาว่ามาหยามหลวงพ่อ
นี่แหละหยาม หยามคือมาปลิ้นปล้อนมาหลอกลวง อย่ามาเหยียบในนี้ ห้ามเด็ดขาด จบ
ถาม : เรื่อง “พระอรหันต์ที่พระธุตังคเจดีย์วัดอโศฯ”
๑. ทำไมหลวงตามหาบัวจึงตั้งใจจำเพาะให้หล่อ ๒๗-๒๘ องค์นี้ครับ หรือเป็นผู้ที่ผูกพันมากับท่านพ่อลี
๒. หนังสือประวัติพระอรหันต์ที่มูลนิธิพระสงบพิมพ์มาจะครบทั้ง ๒๘ องค์นี้ หรือมีที่นอกเหนือจากพระธุตังคเจดีย์ไหมครับ (เท่าที่ดูมา อย่างน้อยก็มี เช่น ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ)
๓. เท่าที่สังเกต จุดสำคัญของหนังสือประวัติครูบาอาจารย์พระอรหันต์ที่มูลนิธิพระสงบพิมพ์ออกมาแตกต่างจากหนังสือที่อื่นคือสาระช่วงการปฏิบัติธรรมข้ามกิเลสในขั้นต่างๆ ตรงจุดนี้คิดว่าพระอาจารย์คงต้องการให้ไม่เกิดการมั่วประวัติการภาวนาของครูบาอาจารย์ใช่ไหมครับ
ตอบ : “๑. ทำไมหลวงตามหาบัวจึงตั้งใจจำเพาะให้หล่อ ๒๗-๒๘ องค์นี้ครับ หรือเป็นผู้ที่ผูกพันมากับท่านพ่อลี”
ท่านพ่อลีเป็นพระที่หลวงปู่มั่นท่านเมตตา หลวงปู่มั่นท่านเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมาที่มีอำนาจวาสนา ท่านพยายามสรรหาค้นหาธรรมทายาทเพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนาต่อเนื่องๆ ไป
ถ้ามีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นแล้วท่านนิพพานไปแล้วจบ ศาสนาก็เจริญรุ่งเรืองหรือเป็นที่พึ่งของพุทธศาสนิกชนเท่านั้น ถ้ามันต่อเนื่องๆ ไป มันก็จะเป็นธรรมทายาท เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรสที่ได้ฝึกหัดปฏิบัติไป
หลวงปู่มั่นท่านถึงเจาะจงพระที่จะเป็นหลักเป็นเกณฑ์ เช่น ท่านบอก “หลวงปู่ขาว หลวงปู่ขาวได้คุยกับเราแล้วนะ” “ท่านมหาดีทั้งนอกทั้งใน” นี่ท่านสั่งเสียไว้เลย เวลาองค์ไหนที่ต่อไปในอนาคตจะเป็นธรรมขึ้นมา ท่านจะไปโดยธรรมน่ะ
หลวงปู่ขาวท่านเล่าให้หลวงตาฟังว่า เวลาท่านวางบาตร ท่านจัดเก็บบริขารไม่ถูกที่ถูกทาง คืนนั้นเวลาหลวงปู่ขาวนั่งภาวนา หลวงปู่มั่นจะมาในจิตเลย “ท่านเป็นพระผู้ใหญ่ ท่านจะเป็นแบบอย่าง ทำไมท่านทำตัวอย่างนี้ การทำของท่านมันจะเป็นประโยชน์กับพระที่เป็นลูกศิษย์ลูกหาเขาได้ดูท่านเป็นแบบเป็นอย่าง ทำไมท่านทำอย่างนี้ๆ” ท่านจะโดนหลวงปู่มั่นมาติเตียนทันทีถ้าท่านทำผิด
หลวงตาพระมหาบัวเวลาทำสิ่งใดมา ไปเผยแผ่ จะไปสร้างวัดที่น้ำตกพลิ้วที่เมืองจันท์ฯ ให้พระออกไปบิณฑบาตทางข้างนอก ท่านบิณฑบาตอยู่ใกล้ๆ วัด วันหนึ่งฝนมันตกหนัก พระที่ไปด้วยกลับมา สะพานในสวนมันเป็นไม้ท่อนเดียว เหยียบแล้วลื่นตกไปเปียกทั้งตัว บาตรนี่คว่ำหมดเลย
คืนนั้นหลวงตาพระมหาบัวท่านบอกเลย หลวงปู่มั่นมาทันที “เป็นพระผู้ใหญ่เอาเปรียบพระเด็กๆ พระเด็กๆ มันก็ยังไม่รู้เหนือรู้ใต้ ปล่อยให้มันออกไปหาอยู่หากิน ไอ้พระที่มีกำลัง พระที่มีสติปัญญามันรักสะดวก มันเอาใกล้ๆ น่ะ”
ตั้งแต่นั้นมาหลวงตาท่านเปลี่ยนหมดเลย ไปสายไกลที่สุด ไปสายยากที่สุดสำหรับผู้นำ ผู้นำจะเป็นอย่างนั้น นี่หลวงตาท่านเล่าเอง
ฉะนั้น สิ่งที่ว่า เวลาหลวงปู่มั่นท่านรู้ว่าองค์ใดมีอำนาจวาสนา องค์ใดเป็นพระที่แท้จริง เป็นแบบอย่าง ท่านจะคอยเตือน คอยคุ้มครองดูแลให้เป็นเสาหลักในวงกรรมฐาน
ฉะนั้น “ทำไมหลวงตาพระมหาบัวจึงตั้งใจเฉพาะ ๒๗-๒๘ องค์นี้ หรือว่าเป็นผู้ที่ผูกพันกับท่านพ่อลี”
ท่านพ่อลีก็เป็นองค์หนึ่งในรูปหล่อนี้ ฉะนั้น ยุคของท่านพ่อลี ท่านพ่อลีท่านเป็นพระที่มีอำนาจวาสนาบารมี เป็นเสาหลักในกรรมฐาน ท่านมาสร้างวัดอโศฯ เป็นที่พักของพระกรรมฐาน เป็นให้ชาวกรุงเทพฯ ได้รู้จักพระกรรมฐาน ท่านมีอำนาจวาสนาบารมีแต่ท่านอายุเท่านั้น
หลวงตาพระมหาบัวท่านถึงว่าท่านก็เป็นเสาหลักในกรรมฐาน ท่านก็ทำมารักษาผลประโยชน์ รักษาสิ่งที่เป็นแบบอย่างไว้ให้กับชาวพุทธเรา ก็หล่อพระที่เป็นพระที่แท้จริง ๒๗-๒๘ องค์นี้ก็จบ
“๒. หนังสือประวัติพระอรหันต์ที่มูลนิธิพระสงบพิมพ์มาจะครบทั้ง ๒๘ องค์นี้ หรือมีนอกเหนือจาก ๒๘ องค์นี้หรือไม่ครับ เท่าที่ดูมาอย่างน้อยก็มีท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ”
เราทำเจ้าคุณอุบาลีฯ เพราะเราก็ได้ศึกษามาจากครูบาอาจารย์นี่แหละว่า หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเวลาการประพฤติปฏิบัติมันทุกข์มันยากขนาดไหน แล้วเวลาทุกข์ยากขนาดไหน เวลาศึกษา ศึกษาค้นคว้า
ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ท่านก็มีอำนาจวาสนา แต่ท่านได้เข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ก่อน ท่านได้มาศึกษาทางวิชาการจนเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิตของกรุงสยามเลย
แล้วเวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านปฏิบัติของท่าน สิ่งที่ทางวิชาการก็ตรวจสอบ ต่างคนต่างตรวจสอบ ต่างคนต่างชักจูงกัน ต่างคนต่างปรารถนาดี ต่างคนต่างเป็นบัณฑิต จนท่านเป็นพระอรหันต์ทั้งหมดน่ะ
เราเห็นคุณค่า ฉะนั้น หนังสือท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ มันจะมีเวอร์ชันต่อไป เวอร์ชันนี้จะจบลง แล้วกำลังจะพิมพ์เวอร์ชันใหม่ที่มีเคล็ดมีเกร็ดในการประพฤติปฏิบัติอีกมากมายเลย นี่ยังทำต่อเนื่องไป
นี่คืออะไร นี่ก็เป็นเพื่อสิ่งที่ว่าเป็นประโยชน์กับชาวพุทธ พุทธบริษัท ว่าความจริงในพระพุทธศาสนามันมีอยู่จริง
หลวงตาพระมหาบัวท่านบอกว่า ใครไม่มีอำนาจวาสนาจะไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา
ใครไม่มีอำนาจวาสนาจะประพฤติปฏิบัติเป็นบุคคล ๔ คู่ไปแสนยาก แต่คนมีอำนาจวาสนาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปตามความเป็นจริงขึ้นมานะ นั่นก็เป็นอำนาจวาสนาของบุคคลคนนั้น อำนาจวาสนาที่เขาได้สร้างของเขามา แล้วเขาได้พบครูบาอาจารย์ที่ดีงาม
ครูบาอาจารย์ที่ดีงามเป็นแบบอย่าง แล้วครูบาอาจารย์ที่ดีงามเป็นผู้คอยแก้จิต แก้ไขจิตที่เวลากิเลสมันพลิกมันแพลง กิเลสมันบอกมันเก่งกว่าอาจารย์ทั้งนั้นน่ะ มันยอดเยี่ยมทั้งนั้นน่ะเวลากิเลสที่มันพลิกแพลงน่ะ
ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่ดีท่านจะกำราบ กำราบกิเลสที่มันฟูขึ้นมานั่นน่ะ แล้วทำให้มันเป็นธรรมๆ ขึ้นมา นั้นน่ะมันจะเป็นประโยชน์กับพระพุทธศาสนา จบ
“๓. เท่าที่สังเกต จุดสำคัญของหนังสือประวัติครูบาอาจารย์พระอรหันต์ที่มูลนิธิพระสงบพิมพ์แตกต่างจากหนังสือที่อื่นคือช่วงการปฏิบัติธรรมข้ามกิเลสในแต่ละชั้นต่างๆ ตรงจุดนี้คิดว่าอาจารย์คงต้องการให้ไม่เกิดการมั่วประวัติครูบาอาจารย์”
ประวัติครูบาอาจารย์เป็นประวัติครูบาอาจารย์ หลวงตาพระมหาบัวท่านพูดประจำ ไม่รู้เขียนไม่ได้
เราไม่รู้ถึงวิธีการ ไม่รู้ถึงการกระทำ เอ็งจะเขียนประวัติอะไร ก็เป็นการเล่านิทานแค่การบอกเล่า บอกเล่าถึงชาติถึงตระกูลเท่านั้นแหละ แต่ในการประพฤติปฏิบัติมันเป็นนามธรรม แล้วมันเป็นข้อเท็จจริง
ไม่รู้เขียนไม่ได้ ไม่รู้น่ะฟังเขาเล่าว่า แล้วก็เล่านิทานกันน่ะ มันก็เป็นภาษาโลกๆ นั่นแหละ
แต่ถ้ามันเป็นธรรมๆ ฉะนั้นบอกว่า แต่ละองค์ๆ เป็นความมหัศจรรย์ การบรรลุธรรม บรรลุธรรมแต่ละคน จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ บุคคล ๔ คู่แต่ละคู่ไม่เหมือนกัน อำนาจวาสนาคนไม่เหมือนกัน สร้างมาแตกต่างกัน วิธีการเหมือนกัน แต่การเกิดขณะจิต การดับทุกข์ นิโรธคือขณะ นั่นล่ะสำคัญ
ฉะนั้น วงกรรมฐานที่เวลาเขาธมฺมสากจฺฉา คุยธรรมะกันเขาก็คุยตรงนี้แหละ หลวงตาพระมหาบัวขึ้นไปหาหลวงปู่แหวนก็เรื่องนี้แหละ แล้วหลวงตากับหลวงปู่แหวนท่านก็ได้คุยกัน เห็นไหม บุคคล ๔ คู่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ หลวงตาถึงได้เคารพหลวงปู่แหวนไง
เวลากรรมฐานเขาคุยกัน เขาคุยกันตรงขณะนี่แหละ ตรงนิโรธ ตรงดับทุกข์นี่ แล้วแต่ละองค์มันไม่เหมือนกัน จะเอาหลักอริยสัจแล้วไปให้ทุกๆ องค์เป็นอย่างนี้มันไม่มี มันเป็นไปไม่ได้ มันถึงว่าต่างองค์ต่างเป็น ต่างองค์ต่างถนัด ต่างองค์ต่างแก้ไขแต่ละบุคคล ฉะนั้น ให้เห็นว่ามันหลากหลาย มันแตกต่าง แล้วการกระทำนั้นน่ะให้มันเป็นข้อเท็จจริง
มันถึงบอกว่า ทำมาเพื่อไม่ให้ประวัติมันมั่วใช่ไหม
ไม่ใช่ ทำมาเพื่อให้มันข้อเท็จจริง ก็มันเป็นข้อเท็จจริง แล้วถ้าข้อเท็จจริงมันเป็นจริงขึ้นมา มันเป็นสมบัติของชาติ มันเป็นสมบัติของชาวพุทธ มันเป็นสมบัติของประเทศไทยที่พระอรหันต์แต่ละองค์ที่ท่านบรรุลธรรมแต่ละชั้นแต่ละตอน มันเป็นความมหัศจรรย์ในฝ่ายวิปัสสนาธุระ เราถึงอยากทำไว้ให้มันเป็นสมบัติของพระพุทธศาสนา จบ
ถาม : เรื่อง “อุบายคิดลดความฟูของใจ”
กราบนมัสการหลวงพ่อค่ะ หนูสังเกตว่าใจของหนูมีความฟูเกิดขึ้นเป็นประจำเวลาทานของอร่อยหรืออาหารที่ชอบทาน โดยเฉพาะไปทานตามร้านอาหาร หนูว่ามันเป็นกิเลสอย่างหนึ่งต่อการปฏิบัติธรรมใช่ไหมคะ ขอเมตตาหลวงพ่อช่วยแนะนำด้วยค่ะ
ตอบ : ก็ตั้งสติไว้มันก็จบน่ะ ไอ้นี่มันเป็นปัญหาปลีกย่อยในการประพฤติปฏิบัติของแต่ละบุคคล แล้วมันอยู่ที่จริตนิสัยของคน ถ้าจริตนิสัยของคนมันชอบอะไรมันก็ว่าอย่างนั้นน่ะเป็นประโยชน์ ถ้ามันไม่ชอบสิ่งใดมันก็ปฏิเสธสิ่งนั้น
ฉะนั้น สิ่งนี้มันก็อยู่ที่จริตนิสัย ชอบ ปรารถนาแตกต่างกันไป ถ้ามันถูกใจชอบใจมันก็มีความสุข ถ้ามันขัดใจมันก็มีความทุกข์
เราก็ตั้งสติของเราสิ พิจารณาของเรา แล้วเตือนสติของเราแล้วฝึกหัดภาวนาต่อเนื่องไป พอภาวนาต่อเนื่องไป ไอ้นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยมาก แล้วมันจะผ่านเรื่องนี้ไป จบ
ถาม : เรื่อง “สงสัยในการภาวนา”
กราบนมัสการหลวงพ่อ ผมมีข้อสงสัยในการภาวนา ขอกราบเรียนถามดังนี้
๑. ในการภาวนา ผมมีความเห็นว่า เมื่อจิตสัมผัสกับสัญญาจึงเกิดความเห็นขึ้นว่าเป็นเรา แต่ผมมีความสงสัย คืออารมณ์ความรู้อันละเอียดนั้นมันเกิดขึ้นมาพร้อมกับความเห็นที่เป็นเรา หรือว่าเกิดหลังจากสังขารปรุงแต่งไปแล้วครับ
๒. ผมมีความเห็นว่า อารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดมันเป็นเพียงอาการที่เกิดจากการปรุงแต่งของสังขาร ซึ่งมีเหตุมาจากกิเลสที่อยู่ในจิต ดังนั้น เราต้องทำอย่างไรกับกิเลสนี้ครับ
ตอบ : เวลาเราใช้ เราอยากฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ เป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใหม่ ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า การปฏิบัติยากอยู่ ๒ คราว คือคราวเริ่มต้นและคราวที่จะสิ้นกิเลส
คราวเริ่มต้นก็เริ่มต้นอย่างนี้ ถ้าให้พุทโธๆๆ มันก็พุทโธไม่ได้ หรือพุทโธแล้วมันไม่เป็นสมาธิ มันก็เป็นจินตนาการไป
แล้วว่าเวลาใช้ปัญญาไปๆ มันก็เกิดเป็นคำถามข้อที่ ๑. สงสัยว่าอารมณ์มันจะเกิด มันเกิดจากสัญญา มันจะละเอียดมันจะหยาบ
ถ้ามีสติปัญญานะ ฝึกหัดใช้ปัญญานี่ได้ แต่ปัญญาอย่างนี้มันเป็นปัญญาสมมุติ ปัญญาที่เกิดจากจิต เป็นปัญญาจากสัญญาอารมณ์ มีสติเท่าทันมันไป มันจะเป็นปัญญาอบรมสมาธิ
ที่ว่าความเห็นของเรามันเป็นอารมณ์อันละเอียด ที่ว่ามันเป็นเราเพราะมันเกิดจากการปรุงแต่งของสังขาร
ถ้ามีสติปัญญาตามไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันหยุดหมดน่ะ มันเป็นสังขาร เท่าทันสังขารก็ดับ มันจะเป็นสัญญา เท่าทันสัญญามันก็ดับ มันจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ถ้าสติปัญญามันทัน มันดับหมดน่ะ แล้วมันดับ มันคืออะไรน่ะ
โอ้! มันเป็นสัญญาอันละเอียด โอ๋ย! มันละเอียดจนเป็นฝุ่นเป็นผงเลย จนเป็น PM 2.5 เลย ละเอียดอยู่ในอากาศเลย
มันก็คิดของมันไปไง ถ้าสติปัญญามันทันมันจะเป็นปัญญาอบรมสมาธิ เห็นไหม
ว่าพุทโธๆๆ พุทโธเพื่อความสงบ เพื่อเป็นสัมมาสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิก็คือสติปัญญาที่เท่าทันความคิด เท่าทันความคิดที่มันคิดหลอกคิดหลอน คิดหลอกคิดลวง คิดร้อยแปดนี่ แล้วถ้าสติปัญญาไม่เท่าทัน “โอ้โฮ! บรรลุธรรมๆ”
แต่ถ้ามีสติปัญญามันหยุดหมดเลย ไม่เห็นบรรลุอะไร มันแค่หยุดมันก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิ เห็นไหม
ข้อ ๒. ก็เหมือนกัน มันละเอียด มันอะไร
ตามไปมันจะรู้ทันหมด อย่างมากมันก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิ อย่างน้อยมันก็เตลิดเปิดเปิงไปร้อยแปดพันเก้า
ตั้งสติไว้แล้วใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เรื่องแบบนี้จะหยุดหมด แล้วเข้าใจหมด แล้วราบรื่นไปหมดในการประพฤติปฏิบัติ จบ
ถาม : เรื่อง “สะพานบุญ”
กราบเรียนพ่อแม่ครูอาจารย์ ขอเรียนถามว่า สังคมตอนนี้มีผู้เป็นสะพานบุญจำนวนมาก เช่น ถ้ามีงานบุญใหญ่ใครจะทำโอนเงินมาแล้วจะไปซื้อของไปทำให้ หรือไปวัดทุกวันอยู่แล้ว โอนเงินมาจะเป็นการถวายอาหารให้ ประมาณนี้ ขอเรียนถามว่า การฝากทำบุญแบบนี้ อยากให้ครูอาจารย์ให้ข้อคิดเจ้าค่ะ
ตอบ : เราทำบุญเราก็ทำบุญของเราอยู่แล้ว ทำทานร้อยหนพันหนไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ถือศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับภาวนามยปัญญาขึ้นมาหนหนึ่งนะ นี่เราพูดทุกวัน พระพุทธศาสนาเรียบง่าย
ในมหายานเขาบอกว่า เรื่องทำทานๆ เขาไม่สนใจเลยนะ มหายานเขาว่าทานไม่มีผลด้วย เขาให้ภาวนาไปเลย
เราบอกว่า อย่างนั้นก็ไม่ได้ เพราะอะไร เพราะคนเกิดมาจิตใจมันหยาบมันช้า จิตใจมันเห็นแก่ตัว การทำทานๆ มันเป็นการละความตระหนี่ถี่เหนียว การยึดมั่นถือมั่นในใจว่าข้ายิ่งใหญ่ ข้าตัวตนนี้ยิ่งใหญ่นัก ทานมันจะทอนไอ้เรื่องอย่างนี้ แล้วพอทานแล้วมันมีศีล มันเป็นสามเส้า สามเส้า การประพฤติปฏิบัติมันจะเข้มแข็งขึ้น
แต่ถ้ามันสองเส้า ตั้งหินสองก้อน มีศีลแล้วก็ภาวนา ทาน ศีล ภาวนา ทานตัดทิ้ง มหายานเขาตัดทิ้งเลยนะ เรื่องทานๆ นี่ เขาว่ามันเป็นการลวงโลก เป็นการหลอกลวง เป็นไอ้พวกเห็นแก่ผลประโยชน์
แต่พระพุทธศาสนาเถรวาทเรา ทาน ศีล ภาวนา แต่ทาน ศีล ภาวนา ทานก็ทานในพระพุทธศาสนา ทานก็ต้องมีปัญญาไง ก็เงินของกู ก็กูหามา กูทำบุญกูต้องพอใจสิ จะให้เขามากรอกหูเป็นสะพานบุญๆ จะมาควักกระเป๋า ล้วงให้มันทำไม แล้วสะพานบุญที่ไหน แล้วมันเป็นอย่างนี้ไปหมดเพราะอะไร
เพราะคนเวลาบวชพระหรือว่าเป็นชาวพุทธแล้วถือสิทธิ์ว่าจะเป็นผู้ที่รวบรวมบุญกุศล จะเป็นสายบุญสายกรรม
มันเป็นอะไร ไอ้นั่นมันเป็นระดับของทาน ถ้าระดับของทานมันก็เรื่องของเขา ถ้าทำทานแล้วสังคมร่มเย็นเป็นสุข สังคมไม่เอารัดเอาเปรียบกันไง แต่ไอ้พวกสิบแปดมงกุฎมันก็ไปหลอกลวงกันไง
อยู่ในพระไตรปิฎกนะ ชาวบ้านในราชคฤห์ ชาวบ้านต่างๆ เห็นวัวเห็นควายมาวิ่งหนีเลย คิดว่าพระมาเรี่ยไร ในพระไตรปิฎกนะ
แล้วเวลาเราพูดกับพระว่า เขาไม่ใช่ญาติ เขาไม่ใช่ปวารณา ไปขอเขาได้อย่างไร ไอ้พวกปัญญาอ่อนน่ะ “อ้าว! ก็เราเอาบุญไปให้เขาถึงบ้านนะ เราทำคุณงามความดี”
ไปถามข้าราชการ มันหักสิ้นเดือน มันพอใจไหม หักจนหมดเงินเดือนนั่นน่ะ
เอาบุญไปให้เขา เวลาคนสะพานบุญมันจะเอามันอ้างหมดน่ะ แต่ถ้าไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณาล่ะ พระนี่ถ้าไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณา เขาห้ามขอนะ แล้วถ้าปวารณา ปวารณาเท่าไร
จนเขาต้องออกกฎกติกาห้ามเรี่ยไร ใครจะเรี่ยไรต้องไปขออนุญาตนะ แล้วเอ็งเป็นสะพานบุญ เอ็งขออนุญาตทางราชการหรือยัง
หลวงตาพระมหาบัวท่านสอนเลย ห้ามกวนบ้านกวนเมือง
พระเราถ้าปฏิบัตินะ ปัจจัย ๔ มันเหลือล้น มันล้นวัด หลวงตาท่านบอกว่ามันจะท่วมปอดตายอยู่แล้ว เพียงแต่ท่านคอยเตือนว่า ให้มักน้อยนะ ให้สันโดษนะ ให้ปฏิสังขาโยนะ ให้ฉันแต่พอประมาณ ไม่อย่างนั้นมันจะนั่งสัปหงกโงกง่วง
มันไม่เกี่ยวเลยน่ะ ฉะนั้น เราถึงไม่ให้ทำไง เราไม่ให้ทำเลย ตั้งแต่บวชมา กล้าพูด ไม่เคยบอกบุญใครแม้แต่คนเดียว ที่นี่เขาจะมาขอทำถนนสองสามเจ้าแล้ว มีคนบอกว่าจะทำเพดานนี้ใหม่ มันเก่า
เราบอก ไม่ได้ มันวุ่นวาย
“วุ่นวายอะไร พระไม่ต้องทำ แค่คุม”
คุมนั่นแหละมันวุ่นวายแล้ว
มีคนมาขอเปลี่ยนนะ มีคนมาขอทำนู่นทำนี่เยอะแยะ มีคนมาขอจะกรุกระจกให้ เขามาถามว่า “หลวงพ่อไม่มีวาสนาเลยหรือ ไม่มีใครช่วยหลวงพ่อเลยเนาะ ดิฉันจะมาทำห้องกระจกให้ค่ะ” เขาจะทำกระจกให้เลยนะ แล้วติดแอร์ให้ สองเจ้าแล้ว
ไม่เอา ห้ามเด็ดขาด
ธรรมะเป็นธรรมชาติ เราต้องอยู่กับธรรมชาติ อัพโภกาสิกังคะ อยู่ในเรือนว่าง ปลอดโปร่ง ร้อนก็คือร้อน เย็นก็คือเย็น หนาวก็คือหนาว เราอยู่กับสัจธรรม เราจะปฏิบัติธรรม
ไม่เอา มีคนมาขอ พูดอย่างนี้เลยนะ สองเจ้า พูดเลยนะ “หลวงพ่อ ไม่มีใครช่วยหลวงพ่อเลยหรือ ดิฉันจะขออนุญาตจะมากุกระจกเป็นห้องเลย แล้วจะติดแอร์ให้ จะขอหลวงพ่อ”
ไม่เอา ไม่เคยบอกบุญใคร ไม่เบียดเบียนใคร ใครเอามาให้ก็ไม่เอา
ใครเอาหัวใจมาแล้วอยากเดินจงกรม อยากนั่งสมาธิ อยากจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า อยากจิตสงบ เราอยากได้อย่างนี้ เราอยากได้คนที่เอาหัวใจมาแล้วประพฤติปฏิบัติ
แล้วอย่าให้กิเลสมันแซงหน้าแซงหลังว่าหลวงพ่อสอนผิด ถ้าหลวงพ่อสอนผิด เอ็งก็ไปหาวัดที่สอนถูกนั้นเถิด วัดที่ไหนสอนถูก เอ็งไปหาที่วัดนั้น
แต่ถ้าเอ็งมาที่นี่ เอ็งเอาหัวใจมา เอาร่างกายมาแล้วฝึกหัดปฏิบัติเพื่อสติ เพื่อสมาธิ เพื่อปัญญา แล้วถ้าจิตมันเป็นอย่างนั้น พระพุทธศาสนาเรียบง่าย แวววาว มีคุณค่า สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี
ฉะนั้น สิ่งที่ว่าเป็นสะพานบุญๆ มันเรื่องของเขา เงินของเรา ทีนี้มันเป็นเรื่องสังคมไง เพื่อนฝูงกันก็มาบีบบี้สีไฟจะไถเงินเพื่อจะทำบุญไปถวายพระ แล้วพอทำบุญไปถวายพระมันก็ไปเอาหน้าไง “ดิฉัน โอ้โฮ! ศรัทธามากเลยค่ะ ดิฉันรักหลวงพ่อเหลือเกิน”...เงินคนอื่นทั้งนั้น ดูกิเลสสิ แล้วไปทำทำไม
เห็นเขาทำบุญนะ แล้วอนุโมทนาไปกับเขา เช้าเราตักบาตรไม่ทัน เห็นใครตักบาตรแล้วเราก็อนุโมทนาไปกับเขามันก็เป็นบุญไง พระพุทธศาสนา ถ้ามีปัญญานะ ขยับก็เป็นบุญไปทั้งนั้นน่ะ
เห็นพ่อแม่ลูกรักกัน เราก็อนุโมทนานะ โอ้โฮ! ชื่นใจมากเลย เห็นพ่อแม่ลูกทะเลาะกัน แย่มากเลย เราอย่าไปอนุโมทนากับเขา อันนี้บาป ไม่เอา แต่ถ้าบุญนะ เห็นพ่อแม่ลูกเขามีความสุข เขารื่นเริงนะ โอ้โฮ! ชื่นใจ นี่มันเป็นความสุขไหม
นี่พระพุทธศาสนา ไม่ต้องไปแจกเงินใคร แจกเงินมันหน้าที่ของรัฐบาล คนละหมื่นนั่นน่ะเดี๋ยวมันแจก เราไม่ใช่รัฐบาล เราทำบุญของเราโดยที่เรามีสติปัญญา เราฉลาด
ฉะนั้น เราถึงไม่อยากให้ทำ เพราะตรงนี้มันเป็นจุดต้นเหตุให้คนที่มันมักมากใฝ่สูงเอาสิ่งนี้ไปแสวงหาผลประโยชน์ แล้วแสวงหาผลประโยชน์แล้วก็เรี่ยไรจากที่นี่แล้วไปทอดกองผ้าป่าจากวัดอื่น แล้วยังบอกว่า “หลวงพ่อเห็นแก่ตัว หลวงพ่อปิดกั้นบุญกุศล”
มึงโยนทิ้งหัวใจมึงแล้วล่ะ
หัวใจมึงไม่ต้องการอะไรเลย ต้องการสติกับคำบริกรรมเพื่อหัวใจนั้นมีความสงบสุข ทำทานร้อยหนพันหนนั้นน่ะไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ถือศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับทำสมาธิได้หนหนึ่ง ถ้าเอ็งทำสมาธิได้ เอ็งได้บุญกุศลเป็นแสนครั้งเลยที่เอ็งไปทอดผ้าป่ากันนั่นน่ะ เป็นแสนๆ ครั้งเลยถ้าจิตมันสงบได้
แล้วเอ็งทิ้งความเป็นสมาธิ จิตจะเป็นสมาธิเพื่อความสงบ แรด เรี่ยไร เบียดเบียนคนอื่น แล้วจะเอาเงินของคนอื่นไปเที่ยวสนองตัณหา ไปบริจาคให้พระ ไปเอาหน้ากับพระว่ามึงเป็นคนยิ่งใหญ่ มึงคิดกันอย่างนั้นใช่ไหม
“อยากจะไปภาวนาที่วัดค่ะ”
ห้ามมาเด็ดขาด จบ
ถาม : เรื่อง “น้ำนิ่ง”
ตอบ : ถ้าน้ำนิ่งนี่นะ ต้องไปถามประปา ไปถามประปานครหลวง ประปาส่วนภูมิภาค ประปาที่จังหวัด ว่าน้ำที่บ้านมันนิ่ง มันไม่ไหล เอ็งต้องไปถามประปา ไม่ใช่ไปถามพระ พระเขาตอบเรื่องธรรมะ เขาไม่ได้ตอบว่าน้ำนิ่ง น้ำขุ่น น้ำไหล น้ำนิ่งไปถามการประปานครหลวงนู่น จบ